บทที่2
บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
เครื่องกรองน้ำ คือ อุปกรณ์ที่ช่วยกำจัดสิ่งปนเปื้อนที่มากับน้ำดื่มถึงแม้ว่าทางประปาจะยืนยันว่าน้ำประปาสามารถดื่มกินได้แต่เนื่องจากระยะทางจากท่อส่งน้ำถึงที่อยู่อาศัยอาจมีรอยร้าว
รั่วซึม ซึ่งอาจทำให้ฝุ่นตะกอนหลุดรอดเข้ามาสู้น้ำของบ้านคุณได้โดย
ระบบกรองน้ำ "เครื่องกรองน้ำ"
คือ อุปกรณ์ที่ช่วยกำจัดสิ่งปนเปื้อนที่มากับน้ำดื่ม ถึงแม้ว่าทางประปาจะยืนยันว่าน้ำประปาสามารถดื่มกินได้
แต่เนื่องด้วยระยะทางจากท่อส่งน้ำจนถึงที่อยู่อาศัยนั้น อาจมีรอยร้าว รั่วซึม
ซึ่งอาจทำให้มีฝุ่นตะกอนหลุดรอดเข้ามาสู่น้ำในบ้านนอกจากสาเหตุที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว
น้ำจากก๊อกยังมี โลหะหนัก ฟลูออไรด์ และสารปนเปื้อนอื่นๆ รวมทั้ง เชื้อโรค
แบคทีเรีย หินปูน และสารเคมีต่างๆ ที่ปนมากับน้ำโดย
"ระบบกรองน้ำ"ที่นิยมทำเป็นน้ำดื่มบรรจุขวดที่วางจำหน่ายอยู่ตามท้องตลาดทั่วไป
คือ ระบบ RO. (Reverse Osmosis System)เป็นการกรองแบบละเอียด
เพื่อให้ได้น้ำกรองมีความบริสุทธิ์มากที่สุด
ทราย
เป็นหินแข็งที่แตกแยกออกมาจากก้อนหินใหญ่
โดยทรายจะแยกตัวออกมาได้เองตามธรรมชาติ ทรายมีขนาดระหว่าง 1/12 นิ้วถึง 1/400 นิ้ว ถ้ามีขนาดเล็กกว่านี้จะมีสภาพเป็นฝุ่นทราย จะประกอบด้วยแร่ควอตซ์หรือหินบะซอลต์
ทรายแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ทรายบกและทรายแม่น้ำ
ทรายบกเกิดจากหินทรายที่แตกแยกชำรุดออกมา
เป็นเม็ดทรายตามสภาพภูมิอากาศสิ่งแวดล้อม และจะฝังจมอยู่ในพื้นดินเป็นแห่ง ๆ
ทรายชนิดนี้จะมีดิน ซากพืชและซากสัตว์ปะปนอยู่ด้วย ในการใช้งานจึงต้องนำทรายมาล้างแยกดินซากพืชและซากสัตว์ออกให้สะอาด
ทรายจากทะเลทรายก็จัดเป็นทรายบกด้วย
ทรายแม่น้ำทรายชนิดนี้มีอยู่ทั่ว ๆ
ไปในที่ราบลุ่มของแม่น้ำ ทรายชนิดนี้เกิดจากปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ
โดยกระแสน้ำได้พัดพาทรายจากที่ต่าง ๆ มาตกตะกอนรวมกันในแหล่งที่ราบลุ่มที่เป็นที่รวมของทราย
ขนาดของทราย
ในการก่อสร้างทั่ว
ๆ ไป ทรายแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่
1. ทรายหยาบ
เป็นทรายที่มีเม็ดใหญ่ มีเหลี่ยมคม และแข็งแรงดีมาก
เหมาะสำหรับงานคอนกรีตที่ต้องการความแข็งแรงมาก ๆ
2. ทรายกลาง เป็นทรายที่มีขนาดเล็กกว่าทรายหยาบงมา เป็นทรายที่เหมาะสำหรับงานปูนทั่วไป เช่น งานก่ออิฐถือปูน พื้นบ้าน ทางเท้า
3. ทรายละเอียด เป็นทรายที่มีขนาดเม็ดเล็กมาก เหมาะสำหรับงานปูนฉาบ ทำบัว
2. ทรายกลาง เป็นทรายที่มีขนาดเล็กกว่าทรายหยาบงมา เป็นทรายที่เหมาะสำหรับงานปูนทั่วไป เช่น งานก่ออิฐถือปูน พื้นบ้าน ทางเท้า
3. ทรายละเอียด เป็นทรายที่มีขนาดเม็ดเล็กมาก เหมาะสำหรับงานปูนฉาบ ทำบัว
หินกรวด
เป็นหินตะกอนพัดพา
มีเนื้อหยาบประกอบด้วยชิ้นเศษหินหรือเม็ดกรวดที่มีความมนสูง
มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 2 มม. ขึ้นไป
ฝังตัวอยู่ในเนื้อ พื้นที่เป็นตะกอนละเอียด พวกทราย ทรายแป้ง
มักมีวัตถุเชื่อมประสานพวกเคล์ แคลเซียมคาร์บอร์เนต เหล็กออกไซด์ ซิลิกา หินมีได้หลายสีตามเนื้อพื้นและเม็ดกรวดที่อาจะเป็นหินอะไรก็ได้
ที่ถูกพัดพามารวมกัน มักเกิดในสภาพแวดล้อมที่เป็นน้ำตื้น และมีกระแสน้ำไหลแรง
พบได้ที่ จังหวัดลพบุรี และนครสวรรค์
ผ้าขาวบาง
มีลักษณะเป็นผ้าสีขาว
คล้ายผ้ามุ้ง แต่มีความสะอาด
ความกว้างของผ้าขาวบางจะมีขนาดไม่เท่ากัน ตามสภาพการใช้งาน
แต่ส่วนใหญ่จะนำมากรองสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ไม่ให้เข้าลงไปผสมกับอาหาร
หรือน้ำที่เราจะรับประทาน
สำลี
ปัจจุบันสำลีมีบทบาทในชีวิตประจำวัน
ไม่ว่าจะนำมาใช้ทำความสะอาดผิวหน้า ผิวกาย หรือใช้ทำความสะอาดบาดแผล
สำหรับสำลีที่ใช้นั้นมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น สำลีเช็ดหน้า สำลีเช็ดแผล
สำลีอเนกประสงค์ สำลีก้าน สำลีแผ่น และสำลีก้อน
ซึ่งแต่ละชนิดก็มีการใช้งานแตกต่างกันไป แล้วรู้หรือไม่ว่า สำลีนั้น ทำมาจากอะไร
เรามาทำความรู้จักสำลี ไปพร้อมๆกับบทความนี้เลย
สำลีเริ่มใช้ครั้งแรกในวงการแพทย์ ตั้งแต่ ค.ศ 1180 ที่โรงพยาบาล Queen’s Hospital ที่เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ โดย Dr.Joseph Sampson Gamgee ซึ่งในช่วงนั้นใช้วิธีการ นำฝ้ายจากต้นฝ้าย มาทำความสะอาด และฆ่าเชื้อ แล้วจึงนำมาใช้งาน และใช้งานแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน
ในประเทศไทยมีโรงงานผลิตสำลีมากมาย ซึ่งฝ้ายที่นำมาทำสำลีนั้น 99% เป็นฝ้ายที่นำเข้าจากต่างประเทศ ส่วนฝ้ายที่ปลูกในประเทศไทยนั้นเป็นฝ้ายพื้นเมือง มีเพียง 1% เท่านั้นสำลีที่ไม่ได้มาตรฐานมีหลายประเภท เช่น
• สําลีที่ไม่สะอาด มีฝุ่นผง สิ่งสกปรกเจือปนในสําลีอาจทําให้เกิดการแพ้ได้
• สําลีที่มีสารเรืองแสง หรือสารเคมีตกค้างในสําลีเช่น สารซักล้าง สารเคมีเหล่านี้อาจเป็นสารก่อมะเร็งในระยะยาวได้และก่อให้เกิดการระคายเคืองในผิวที่บอบบางเช่นผิวเด็ก
• สําลีที่ไม่ได้ผ่านการอบฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูง อาจมีเชื้อโรคบางชนิดหลงเหลืออยู่
• สำลีที่ผลิตด้วยระบบการบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจมีสิ่งสกปรกตกหล่นลงไปในเนื้อสําลีเช่นเศษฝุ่น
สำลีเริ่มใช้ครั้งแรกในวงการแพทย์ ตั้งแต่ ค.ศ 1180 ที่โรงพยาบาล Queen’s Hospital ที่เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ โดย Dr.Joseph Sampson Gamgee ซึ่งในช่วงนั้นใช้วิธีการ นำฝ้ายจากต้นฝ้าย มาทำความสะอาด และฆ่าเชื้อ แล้วจึงนำมาใช้งาน และใช้งานแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน
ในประเทศไทยมีโรงงานผลิตสำลีมากมาย ซึ่งฝ้ายที่นำมาทำสำลีนั้น 99% เป็นฝ้ายที่นำเข้าจากต่างประเทศ ส่วนฝ้ายที่ปลูกในประเทศไทยนั้นเป็นฝ้ายพื้นเมือง มีเพียง 1% เท่านั้นสำลีที่ไม่ได้มาตรฐานมีหลายประเภท เช่น
• สําลีที่ไม่สะอาด มีฝุ่นผง สิ่งสกปรกเจือปนในสําลีอาจทําให้เกิดการแพ้ได้
• สําลีที่มีสารเรืองแสง หรือสารเคมีตกค้างในสําลีเช่น สารซักล้าง สารเคมีเหล่านี้อาจเป็นสารก่อมะเร็งในระยะยาวได้และก่อให้เกิดการระคายเคืองในผิวที่บอบบางเช่นผิวเด็ก
• สําลีที่ไม่ได้ผ่านการอบฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูง อาจมีเชื้อโรคบางชนิดหลงเหลืออยู่
• สำลีที่ผลิตด้วยระบบการบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจมีสิ่งสกปรกตกหล่นลงไปในเนื้อสําลีเช่นเศษฝุ่น
ทราย
เป็นหินแข็งที่แตกแยกออกมาจากก้อนหินใหญ่
โดยทรายจะแยกตัวออกมาได้เองตามธรรมชาติ ทรายมีขนาดระหว่าง 1/12 นิ้วถึง 1/400 นิ้ว ถ้ามีขนาดเล็กกว่านี้จะมีสภาพเป็นฝุ่นทราย จะประกอบด้วยแร่ควอตซ์หรือหินบะซอลต์
ทรายแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ทรายบกและทรายแม่น้ำ
ทรายบกเกิดจากหินทรายที่แตกแยกชำรุดออกมา
เป็นเม็ดทรายตามสภาพภูมิอากาศสิ่งแวดล้อม และจะฝังจมอยู่ในพื้นดินเป็นแห่ง ๆ
ทรายชนิดนี้จะมีดิน ซากพืชและซากสัตว์ปะปนอยู่ด้วย ในการใช้งานจึงต้องนำทรายมาล้างแยกดินซากพืชและซากสัตว์ออกให้สะอาด
ทรายจากทะเลทรายก็จัดเป็นทรายบกด้วย
ทรายแม่น้ำทรายชนิดนี้มีอยู่ทั่ว ๆ
ไปในที่ราบลุ่มของแม่น้ำ ทรายชนิดนี้เกิดจากปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ
โดยกระแสน้ำได้พัดพาทรายจากที่ต่าง ๆ มาตกตะกอนรวมกันในแหล่งที่ราบลุ่มที่เป็นที่รวมของทราย
ขนาดของทราย
ในการก่อสร้างทั่ว
ๆ ไป ทรายแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่
1. ทรายหยาบ
เป็นทรายที่มีเม็ดใหญ่ มีเหลี่ยมคม และแข็งแรงดีมาก
เหมาะสำหรับงานคอนกรีตที่ต้องการความแข็งแรงมาก ๆ
2. ทรายกลาง เป็นทรายที่มีขนาดเล็กกว่าทรายหยาบงมา เป็นทรายที่เหมาะสำหรับงานปูนทั่วไป เช่น งานก่ออิฐถือปูน พื้นบ้าน ทางเท้า
3. ทรายละเอียด เป็นทรายที่มีขนาดเม็ดเล็กมาก เหมาะสำหรับงานปูนฉาบ ทำบัว
2. ทรายกลาง เป็นทรายที่มีขนาดเล็กกว่าทรายหยาบงมา เป็นทรายที่เหมาะสำหรับงานปูนทั่วไป เช่น งานก่ออิฐถือปูน พื้นบ้าน ทางเท้า
3. ทรายละเอียด เป็นทรายที่มีขนาดเม็ดเล็กมาก เหมาะสำหรับงานปูนฉาบ ทำบัว
ถ่าน
หมายถึง ไม้ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง ไม้แห้งทุกชนิดและทุกขนาดอาจใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือฟืนได้ทั้งสิ้น
สำหรับขี้เลื่อยที่มีขนาดเล็ก
อาจอัดให้เป็นก้อนเสียก่อนเพื่อความสะดวกในการหยิบฉวย ฟืนมีข้อเสีย คือ
เมื่อติดไฟแล้วมีควัน และให้ความร้อนต่ำ
การปรับปรุงเตาฟืนเพื่อให้การเผาไหม้ดีขึ้นจะช่วยให้การใช้ฟืนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
อนึ่ง เพื่อความสมบูรณ์ของการเผาไหม้ อุตสาหกรรมที่ใช้เศษไม้เป็นเชื้อเพลิง
ต้องทำให้เศษไม้เป็นผงแบบขี้เลื่อย หรือละเอียดว่านั้นก่อน
แล้วจึงพ่นไปสู่เตาที่ออกแบบสร้างไว้อย่างเหมาะสมปัญหาเรื่องควันแก้ไขได้
โดยการทำฟืนให้กลายเป็นถ่านเสียก่อน การเผาถ่านมีกรรมวิธีคล้ายการกลั่นไม้
จะต่างกันก็ตรงที่ต้องใช้ความร้อน ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ของไม้ในเตาเอง
และไม่มีการเก็บส่วนที่ระเหยไปในอากาศ
การเผาถ่านแต่ละเตาใช้เวลาแตกต่างกันแล้วแต่ขนาดของเตา
ไม่ว่าจะมีไม้มากหรือน้อยเมื่อติดเตาขึ้นแล้ว ต้องคอยระวังไม่ให้เตาแตก ทรุด
หรือเกิดรูรั่ว และคอยควบคุมช่องอากาศเข้าเตาให้พอดี กล่าวคือ ถ้าช่องอากาศเล็ก
ไม้ก็ไหม้ช้า ถ้าช่องอากาศใหญ่ ไม้ก็จะไหม้เป็นเถ้าไปเสียมาก
รออยู่จนกระทั่งเห็นว่า ไม้ไหม้หมดเตาไม่มีควันออกมาอีกต่อไป
จึงปิดช่องอากาศเสียให้สนิท เมื่อไฟดับทั่วเตาแล้ว
จึงเปิดเตาเอาถ่านออกมาใช้ได้ตามปกติถ่านที่ได้จะมีประมาณร้อยละ ๕๐
ของไม้ที่เผาโดยปริมาตรการเผาถ่านด้วยกรรมวิธีที่ต่างกัน
โดยการทำให้ความร้อนในเตาสูงต่ำต่างกัน จะทำให้ถ่านมีคุณภาพต่างกัน
การใช้ไม้เป็นพลังงานในปัจจุบัน มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น เนื่องจากภาวะที่พลังงานอย่างอื่น
มีราคาสูงขึ้น กล่าวคือ สามารถผลิตก๊าซจากฟืนได้โดยตรง
และนำไปใช้เดินเครื่องยนต์ได้เป็นผลสำเร็จไม้ชนิดใดจะให้ฟืนและถ่านมีคุณภาพดีเพียงใดนั้น
นอกจากขึ้นอยู่กับความชื้นแล้ว ยังขึ้นอยู่กับน้ำหนักและปริมาณขี้เถ้าด้วย
เชื้อเพลิงที่มีน้ำหนักมาก ย่อมให้พลังงานต่อหน่วยปริมาตรสูง
การทำขี้เลื่อยอัดหรือถ่านอัด
เป็นการปรับปรุงคุณภาพของเชื้อเพลิงในส่วนนี้อีกทางหนึ่ง
ตรงกันข้ามกับขี้เถ้ายิ่งมีมากยิ่งลดพลังงานลงและเป็นภาระในการขจัด กล่าวได้ว่า
สารอนินทรีย์ที่มีอยู่ในดินทุกชนิดหรือทุกธาตุ ล้วนแต่มีอยู่ในขี้เถ้าหรือในไม้ทั้งสิ้น
เพราะละลายอยู่กับน้ำที่ต้นไม้ดูดขึ้นไปหล่อเลี้ยงลำต้น เมื่อน้ำระเหยไป
สารเหล่านั้นจึงสะสมอยู่ในต้นไม้นั่นเอง
ต้นไผ่
การที่คนไทยนิยมปลูกต้นไผ่นั้น
มีความเชื่อมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วว่า หากปลูกต้นไผ่เอาไว้ภายในบริเวณบ้าน
ก็จะช่วยให้ สมาชิกทุกคนภายในบ้านนั้น เป็นคนที่ไม่คดโกง หรือเอารัดเอาเปรียบใคร
ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไร ก็จะตั้งใจทำ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
และมีคุณธรรมซึ่งความเชื่อเหล่านั้น ก็มีพื้นฐานมาจากลักษณะของต้นไผ่นั่นเอง
ต้นไผ่นั้นจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แตกกิ่งก้านสาขาที่เหยียดตรง และเรียบเนียน
ส่วนด้านในของปล้องไผ่แต่ละปล้อง ก็จะมีแต่เนื้อไม้สีขาวบริสุทธิ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนโบราณเชื่อว่าไผ่สีสุกนั้น
จะช่วยส่งผลให้สมาชิกทุกคนในบ้านนั้น ประสพแต่ความสำเร็จ ร่ำรวยเงินทอง
มีความสุขกันถ้วนหน้า เพราะชื่อของไผ่ชนิดนี้ คล้องจองกับคำว่า “มั่งมีศรีสุข”
จึงช่วยให้เกิดความสุขความเจริญ แก่ผู้ปลูกกันทั่วทุกคนชาวจีนก็เชื่อกันว่า
ไผ่จะเสริมมงคลให้คนในบ้าน เป็นคนมุ่งมั่นตั้งใจจริง มีปัญญาเลิศมีเหตุผล ชื่อตรง
เอื้ออารี และกตัญญูรู้คุณ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น